บทที่ 6 ไม่มีเวลาไปจัดการเรื่องอื่น

ลุงหวงใบหน้าเคร่งเครียดขึ้น เมื่อได้ยินสิ่งที่จิ่วเม่ยบอก แสดงว่าไห่กวงมาที่เรือนของนางจริง หากไม่ถูกฝูงผึ้งต่อยเข้าเสียก่อน ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับสองแม่ลูก

“ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว เจ้ากลับเข้าเรือนเถิด ไป ไปแยกย้ายไปพักผ่อน พรุ่งนี้ยังต้องทำนาอีก” ลุงหวงโบกมือไล่ทุกคน เขาไม่อยากให้จิ่วเม่ยกังวลมากกว่าเดิม

ต้องรอให้ไห่กวงกับนางไห่ซื่อหายดีเสียก่อน ค่อยสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่เขาก็พอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว ว่าสองพี่น้องไม่มีทางพูดความจริงอย่างแน่นอน

กว่าต้าหลางจะนำเกวียนกลับมาคืนก็เกือบสายแล้ว นางไห่ซื่อปากบวมเป่งจนพูดไม่เป็นภาษา นางหลบอยู่แต่ในห้องไม่กล้าออกมาเพราะอับอายชาวบ้านคนอื่น

ส่วนไห่กวงตอนนี้ยังต้องอยู่ที่โรงหมอ ไม่อาจพากลับมาด้วยได้ แม้ไม่มีอาการร้ายแรง แต่ใบหน้าของเขาก็บวมจนดูไม่ออกว่าเป็นผู้ใด

ตอนเช้าซูเจินนางยังตามมารดาไปนอนที่ใต้ต้นไม้ข้างนาเช่นเดิม เสี่ยวมี่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นางฟังอย่างสนุกสนาน

เสียงหัวเราะของเด็กน้อยดังไปทั่วจนชาวบ้านที่กำลังทำนาต่างพากันยิ้มตาม จิ่วเม่ยและคนอื่นเริ่มจะชินเสียแล้ว ที่เห็นราวแมลง นก บินวนอยู่ใกล้ๆ กับซูเจิน

ในตอนแรกก็หวาดกลัวว่าจะเกิดอันตรายแต่หลายวันเข้าเห็นว่าไม่เป็นอันใด จึงได้วางใจลง ทำงานของพวกนางต่อ

จิ่วเม่ยเริ่มจะชินแล้ว แม้แต่อยู่ในเรือนนางยังเห็นมด ผีเสื้อ และผึ้งอย่างละตัว อยู่ข้างกายบุตรสาวตลอด หากนางมองไม่ผิดทั้งสามตัวเป็นตัวเดิม

นางอดจะสงสัยไม่ได้ ว่าเหตุใดไห่กวงถึงได้โดนผึ้งต่อยได้ แต่เมื่อมองผึ้งตัวน้อยที่นอนอยู่บนอกบุตรสาว จิ่วเม่ยก็จ้องมองมันอย่างสงสัย

แต่นางก็ต้องสลัดเรื่องที่คิดทิ้งไป จะเป็นไปได้อย่างไร ที่แมลงพวกนี้กำลังทำหน้าที่ปกป้องนางและบุตรสาวอยู่

ในแต่ละวันของซูเจินก็ไม่มีเรื่องใดที่เปลี่ยนแปลง นอกจากนางจะกินแล้วนอนเท่านั้น ส่วนไห่กวงก็ไม่กล้ามาที่หมู่บ้านอีกเลย นางไห่หวงพอมีความคิดที่อยากจะจัดการกับสองแม่ลูก นางก็ต้องพบกับเรื่องร้าย หากไม่โดนมดรุมกัด ในตอนกลางคืนก็โดนหนูแอบเข้ามากัดเท้าของนางในห้องนอน

แม้ต้าหลางจะหาทางกำจัด และไล่แมลง สัตว์เลื้อยคลานในเรือนทุกหนทาง แต่ก็มิอาจหมดไป จนทั้งสองแทบไม่มีเวลาไปจัดการเรื่องอื่นเลย

ชุยฟงก็ไม่กลับมาอยู่ที่เรือน โดยหาข้ออ้างพักอยู่ที่สำนักศึกษา แต่ความจริงแล้วตัวเขาไปพักอยู่กับสหายและทำเรื่องเลวร้ายอยู่ในเมือง

ชุยซิ่วอิง นางยังมิได้ออกเรือน จึงมิอาจย้ายไปอยู่ที่อื่นได้ ห้องของนางก็มีหนู แมลงเข้าไปอยู่บ่อยครั้ง เสียงกรีดร้องที่ออกมาจากเรือนตระกูลชุย ชาวบ้านเรือนข้างเคียงเริ่มจะชินเสียแล้ว

ไม่รู้ว่าคนทั้งเรือนไปลบหลู่เทพเจ้าองค์ใด ถึงได้พบแต่เรื่องโชคร้าย

ผ่านมาเกือบเดือนผลผลิตในนาข้าวของจิ่วเม่ยก็ดูจะงอกงามกว่าของผู้อื่นมากนัก ของชาวบ้านที่มาช่วยนางทำนาก็ดีไม่แพ้ของนาง

มีเพียงซูเจินที่รู้ว่า แมลงต่างๆ ทั้งหนู มิได้กินผลผลิตในนาข้าวของเรือนนาง แม้แต่ของชาวบ้านที่ช่วยเหลือจิ่วเม่ยก็ได้รับการละเว้น

คงมีแต่ของตระกูลชุยที่ปีนี้แทบจะไม่เหลือผลผลิตให้เก็บเกี่ยว หากถึงช่วงเก็บเกี่ยวก็คงได้แต่เก็บไว้กิน มิอาจจะนำไปขายแลกเงินได้

ผ่านมาอีกสองเดือนซูเจินน้อยที่ถูกนำไปที่นาด้วยก็ถูกจับให้นั่งรอที่ใต้ต้นไม้เช่นเดิม ตอนนี้ไม่ใครกังวลเป็นห่วงนางมากแล้ว เพราะหลายครั้งที่ผ่านมาทำให้รู้ว่านางเป็นเด็กที่รู้เรื่องเพียงใด

ซูเจินนางจะคลานไปรอบๆ อย่างสนใจ และหยุดมองพวกเขาทำงาน เด็กน้อยจะคลานอยู่ไม่ห่างทำให้พวกเขาทำงานได้อย่างเต็มที่

แต่แปลกที่เด็กคนอื่นมาเล่นกับนาง นางจะไม่ค่อยเล่นด้วย ได้แต่มองพวกเขาเล่นเท่านั้น แต่หากมีเด็กคนใดที่รังแกนาง ไม่ต้องให้ซูเจินนางลงมือ เสี่ยวอี่ก็สั่งให้พวกมดไปกัดเด็กคนนั้นแล้ว ยังดีที่มดเพียงสองสามตัวเท่านั้นที่กัด

พอซูเจินนางอายุได้เกือบขวบ ข่าวของชูเต๋อก็ส่งมาถึงหมู่บ้าน สงครามสิ้นสุดลงแล้ว และเขากำลังเดินทางกลับมา ลุงหวงกับป้าหวงที่นำจดหมายมาส่งเมื่อรู้เรื่องก็ได้แต่ยินดีกับจิ่วเม่ยด้วย

ซูเจินในตอนนี้นางเริ่มจะสื่อสารเล็กน้อยตอบโต้ได้เป็นคำแล้ว นางก็อดที่จะตั้งตารอท่านพ่อคนใหม่ของนางไม่ได้

“แม่ หิว” ซูเจินลูบท้องที่กลมของนาง บอกจิ่วเม่ยที่กำลังล้างมือ เพื่อจะพานางไปกินข้าวพอดี

“ได้ ได้ เจินเออร์ น้อยของแม่หิวเสียแล้ว” นางอุ้มบุตรสาวขึ้นแล้วพาไปที่ห้องโถง

แต่ก่อนที่จะเดินเข้าไปด้านในห้องโถง ซูเจินก็ดึงสาบเสื้อของมารดาไว้ แล้วชี้มือไปที่กวางตัวใหญ่ที่อยู่นอกกำแพงด้านหลังเรือน

“สวรรค์” จิ่วเม่ยร้องเสียงดัง นางไม่เคยเห็นกวางเดินเข้ามาในหมู่บ้านมาก่อน

เมื่อกวางที่อยู่ด้านหลังเรือนเห็นซูเจินมันก็ก้มหัวลง ก่อนจะล้มลงที่พื้น จิ่วเม่ยที่อุ้มบุตรสาวอยู่ก็รีบเดินไปดูอย่างรวดเร็ว

พอไปถึงจึงได้รู้ว่า กวางตัวนั่นตายเสียแล้ว ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เมื่อเดือนก่อน ที่บุตรสาวเริ่มจะกินข้าวและเนื้อคำโตได้ ไก่ป่าก็เดินเข้ามาตายในลานเรือนของนาง

จิ่วเม่ยจึงได้ทำอาหารให้ซูเจินได้กิน เมื่อคืนซูเจินบ่นอยากกินเนื้อ เสี่ยวเตี๋ยจึงได้เข้าป่าไปดูว่ามีสัตว์ตัวใดที่ใกล้สิ้นอายุขั้นแล้ว ก็พบว่ากวางตัวหนึ่งที่อายุมากเต็มทีใกล้จะตาย จึงได้ยินยอมยกเนื้อของตนเองให้ซูเจินกินแทน

บทก่อนหน้า
บทถัดไป